การฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ
ในชีวิตของมนุษย์เราในแต่ละวันต่างพบเจอผู้คนมากหมาย
หลากหลายชนชาติ แต่ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยกันแล้วเกิดความเข้าใจกันได้
เพราะเรามีภาษากลางที่จะใช้สื่อสารเหมือนกัน นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษที่เป็นกุญแจสำคัญในการการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันของเราในขณะนี้
อย่างง่ายๆ
หากเราพูดภาษาไทยกับผู้คนในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังจะเปิดในปีหน้าที่กำลังจะถึง
ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะสื่อความหมายให้เขา
เพราะฉะนั้นจึงมีการกำหนดภาษากลาง
หรือภาษาแม่ที่ใช้เป็นภาษาหลักในการติดต่อสื่อสารในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ รวมไปถึงด้านการศึกษาอีกด้วย ซึ่งในขณะที่คุณเชื่อมต่อสิ่งที่คุณได้ยินกับสิ่งที่คุณอ่านและสิ่งที่คุณพูด หรือคุณกำลังกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างด้านของภาษา
ธรรมชาติของการเรียนภาษาทุกภาษาในโลก
จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ การฟังกับการพูด และ การอ่านกับการเขียน
และที่เราสนใจกันมากในการเรียนภาษาคือส่วนที่หนึ่ง
โดยแรกเริ่มของการเรียนภาษาเราจะได้ยินจากการฟังก่อน จากพ่อ แม่
หรือผู้ที่อยู่ด้วยกันพูดหรือคุยกัน เมื่อเราสั่งสมข้อมูลอันได้แก่ คำศัพท์ หรือ
ประโยคต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ครั้งแล้วครั้งเล่านับสิบ นับร้อยครั้ง
แล้วก็เริ่มหัดพูด ถ้าพูดไม่ถูก คนรอบข้างก็จะช่วยให้การพูดนั้นถูก ชัดถ้อย ชัดคำ
จนการพูด สามารถพูดออกมาจากความรู้สึกได้โดยอัตโนมัติ โดยปกติการเรียนรู้ภาษาตามธรรมชาติจึงเป็นการฝึกทักษะที่ต้องใช้เวลา
มากกว่า 3-6 เดือนขึ้นไป
การฝึกพูดภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษาที่ 2
นั้นจะพบปัญหาว่า ผู้เรียนไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
จึงเป็นเหตุให้ช่วงของการฟัง การฝึกทักษะนั้นหายไป อย่างไรก็ตามการฝึกทักษะดังกล่าวนี้ก็ยังมีวิธีอยู่ก็คือ
การฝึกจากสัญลักษณ์เสียงที่เป็นมาตรฐาน IPA (International Phonetic
Alphabet) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประหลาด
ที่มักพบเจอในหนังสือดิกชันนารี่ ที่จะทำให้การออกเสียงนั้นมีความถูกต้อง
แม่นยำและชัดเจนมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากไม่มีผู้ที่มาอธิบายให้เข้าใจ
เพราะนอกจากสัญลักษณ์แปลกๆเหล่านั้นแล้ว ยังพบปัญหาวิธีการออกเสียงว่าทำอย่างไร
เพราะอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงอยู่ภายในปาก ไม่สามารถนำออกมาแสดงให้เห็นได้
เมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้การฟัง
การพูดมีความมั่นใจและถูกต้อง ชัดเจนการฝึกออกเสียงจึงถือว่าเป็นปฐมบทของการเรียนรู้ในเรื่องการฟังและการพูดอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การพูดภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาใด ๆ
ให้ได้ดีก็ต้องอาศัยทักษะทั้งทางด้านภาษา และการออก
ไวยกรณ์
(grammar) ไวยกรณ์ก็เป็นกฎเกณฑ์ของการเรียบเรียงคำในภาษา
เบื้องต้นที่เรารู้จักกัน และที่คล้ายกับในภาษาไทยก็คือ เรื่องประธาน กริยา
และกรรม แต่ไวยกรณ์ในภาษาอังกฤษมีเรื่องของรายละเอียดมากกว่าภาษาไทยเยอะมาก
คำศัพท์ (vocabulary
คนไทยเราก็นิยมท่องศัพท์กันอยู่แล้ว
ขอย้ำอีกครั้งว่า การเรียนคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเด็ก ๆ
มักจะท่องคำแปลกันเฉย ๆ
เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องครับ มันใช้ได้กับศัพท์ง่าย ๆ เท่านั้นเอง เช่น dog
แปลว่า หมา
วิธีที่ถูกต้องคือต้องรู้ความหมาย ไม่ใช่คำแปล
ความหมายนี้มันถึงกว่าคำแปลครับ มันคือ คุณรู้ว่าคำนั้น ๆ ใช้ในสถานการณ์ไหน
แล้วหมายความว่าอะไร
ต้องรู้วิธีใช้ อันนี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องไวยกรณ์ เช่น บางทีคำต้องใช้แบบเป็นคำคุณศัพท์
หรือคำกริยา เช่น interested หมายความว่า รู้สึกสนใจ
เวลาใช้ก็ต้องพูดว่า I am
interested ไม่ใช่ I interested เป็นต้น ต้องรู้การออกเสียง เห็นคำใหม่ ๆ อย่าไปทึกทักเอาเองว่า
ออกเสียงอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าไม่แน่ใจ เปิดพจนานุกรมก่อนค่อยจำ
อันนี้ก็เป็นความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งของการเรียนศัพท์ของคนไทย
ที่ไปใช้พจนานุกรมไทย-อังกฤษ บางฉบับก็ไม่มีคำอ่านให้
บางฉบับมีคำอ่านแต่ก็ไม่บอกว่าเน้นพยางค์ไหน และทุกฉบับก็ไม่มีมาตรฐานกลางว่า
การใช้ภาษาไทยแทนการออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ก็เป็นส่วนที่หนังสือเล่มนี้จะมาช่วยแก้ไข ซึ่งผมจะกล่าวในบทต่อไป
สำนวนของภาษาพูด เรารู้คำศัพท์ และรู้ไวยกรณ์ ก็ยังไม่พอนะครับ ยังต้องรู้สำนวนที่เขาใช้กันอีก สำนวนในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึง สแลง (slang)
อย่างเดียวนะครับ สแลง คือ
สำนวนที่พูดแล้วมีความหมายพิเศษ ไม่ตรงกับความหมายของการใช้คำนั้น ๆ โดยตรง
ส่วนใหญ่ก็เป็นการใช้ในภาษาพูด หรือการใช้แบบไม่เป็นทางการ และ ก็มักเป็นการใช้เฉพาะในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น คำว่า cool โดยปกติก็แปลว่าเย็น
แต่ก็เอามาใช้อธิบายสถานการณ์ หรืออธิบายคนได้ แปลว่า เจ๋ง หรือเยี่ยม อันนี้ก็เป็นสแลงของอเมริกัน
ที่แผ่ขยายไปใช้กันทั่วโลกนะครับ
สแลงถือเป็นส่วนน้อยของสำนวนการพูดครับ มีสำนวนอีกเยอะแยะที่เป็นพื้นฐานที่เขาใช้กันทั้งไป
ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน ตัวอย่างเช่น การขอร้องให้คนช่วยพูดอย่างไร การพูดแนะนำเส้นทางพูดอย่างไร เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การใช้คำคู่ต่าง ๆ ก็มีมากมาย
ซึ่งบางครั้งก็มีที่ใช้พิเศษของมัน เช่น เวลาเปิดไฟ ปิดไป เขาก็พูดว่า turn
on the light กับ turn off the light ไม่ได้พูดว่า open หรือ
close
การเน้นเสียงพยางค์
(stress) ข้อนี้สำคัญมากเช่นกัน
คำแต่ละคำมีการเน้นพยางค์ไม่เหมือนกัน
ส่วนใหญ่เน้นแค่พยางค์เดียว แต่บางคำก็เน้นสองพยางค์ มีพยางค์ที่เน้นหนักที่หนึ่ง
กับหนักที่สอง เช่น information อ่านว่า
[อิน]-ฟอร์-[[เม้]]-ชั่น ผมขอใช้สัญลักษณ์
[] เพื่อแสดงการเน้นนะครับ [[ ]] ก็เน้นมากกว่า
[ ] ใครมีพจนานุกรมที่ออกเสียงได้
ลองฟังเสียงของคำนี้ดู
ข้อนี้คนไทยทำได้ไม่ยาก
แต่ปัญหาอยู่ที่การเน้นผิดพยางค์ หรือ ไม่เน้นพยางค์ไหนเลย ตัวอย่างเช่น คำว่า effect ซึ่งบางคนยืมมาใช้ทับศัพท์ในภาษาไทย
เวลาพูดในภาษาอังกฤษก็ไปออกเสียงเน้นพยางค์แรก หรือทั้งสองพยางค์ว่า เอฟเฟค
แต่จริง ๆ แล้วคำนี้ต้องเน้นที่พยางค์ที่สอง โดยออกเสียงว่า -อิ-[เฟคท]- หรือ -เอะ-[เฟคท]- เพราะฉะนั้นเวลาเรียนคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้สนใจไม่ใช่เฉพาะออกเสียงพยัญชนะ
และสระเท่านั้น
เราต้องสนใจว่าเน้นพยางค์ไหนด้วย
ท่วงทำนอง
(intonation) คือ
การเน้นคำ หรือทำเสียงสูงต่ำเมื่อพูดเป็นประโยค
(หรือไม่เต็มประโยคก็ได้) ตัวอย่างเช่น
ประโยคคำถามที่ต้องตอบใช่หรือไม่ใช่
ต้องลงท้ายด้วยเสียงสูง เช่น Are you Thai? คำแรกเป็นคำที่เสริม (functional
word) โดยทั่วไปก็พูดแบบไม่ต้องเน้น ส่วนคำหลังสุดต้องออกเสียงตรี หรือถ้าคนถาม
ถามแบบแปลกใจนิด ๆ (แบบว่าหน้าไม่เหมือนไทย คนไทยหรือวะ)
จะขึ้นสูงเป็นเสียงจัตวาเลยก็ได้
นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว
การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation แล้ว intonation คืออะไร?
มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค
จะมีการขึ้น การลงของเสียง
ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้
นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
โดยปกติแล้ว รูปแบบของ intonation ในภาษาอังกฤษจะมี
2 รูปแบบหลักๆคือ
1. falling intonation
การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น