วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ





                          การฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ





ในชีวิตของมนุษย์เราในแต่ละวันต่างพบเจอผู้คนมากหมาย หลากหลายชนชาติ แต่ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยกันแล้วเกิดความเข้าใจกันได้ เพราะเรามีภาษากลางที่จะใช้สื่อสารเหมือนกัน นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษที่เป็นกุญแจสำคัญในการการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันของเราในขณะนี้ อย่างง่ายๆ หากเราพูดภาษาไทยกับผู้คนในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังจะเปิดในปีหน้าที่กำลังจะถึง ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะสื่อความหมายให้เขา เพราะฉะนั้นจึงมีการกำหนดภาษากลาง หรือภาษาแม่ที่ใช้เป็นภาษาหลักในการติดต่อสื่อสารในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ รวมไปถึงด้านการศึกษาอีกด้วย  ซึ่งในขณะที่คุณเชื่อมต่อสิ่งที่คุณได้ยินกับสิ่งที่คุณอ่านและสิ่งที่คุณพูด หรือคุณกำลังกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างด้านของภาษา



ธรรมชาติของการเรียนภาษาทุกภาษาในโลก จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ การฟังกับการพูด และ การอ่านกับการเขียน และที่เราสนใจกันมากในการเรียนภาษาคือส่วนที่หนึ่ง โดยแรกเริ่มของการเรียนภาษาเราจะได้ยินจากการฟังก่อน จากพ่อ แม่ หรือผู้ที่อยู่ด้วยกันพูดหรือคุยกัน เมื่อเราสั่งสมข้อมูลอันได้แก่ คำศัพท์ หรือ ประโยคต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ครั้งแล้วครั้งเล่านับสิบ นับร้อยครั้ง แล้วก็เริ่มหัดพูด ถ้าพูดไม่ถูก คนรอบข้างก็จะช่วยให้การพูดนั้นถูก ชัดถ้อย ชัดคำ จนการพูด สามารถพูดออกมาจากความรู้สึกได้โดยอัตโนมัติ โดยปกติการเรียนรู้ภาษาตามธรรมชาติจึงเป็นการฝึกทักษะที่ต้องใช้เวลา มากกว่า 3-6 เดือนขึ้นไป

การฝึกพูดภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษาที่ 2 นั้นจะพบปัญหาว่า ผู้เรียนไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงเป็นเหตุให้ช่วงของการฟัง การฝึกทักษะนั้นหายไป อย่างไรก็ตามการฝึกทักษะดังกล่าวนี้ก็ยังมีวิธีอยู่ก็คือ การฝึกจากสัญลักษณ์เสียงที่เป็นมาตรฐาน IPA (International Phonetic Alphabet) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประหลาด ที่มักพบเจอในหนังสือดิกชันนารี่ ที่จะทำให้การออกเสียงนั้นมีความถูกต้อง แม่นยำและชัดเจนมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากไม่มีผู้ที่มาอธิบายให้เข้าใจ เพราะนอกจากสัญลักษณ์แปลกๆเหล่านั้นแล้ว ยังพบปัญหาวิธีการออกเสียงว่าทำอย่างไร เพราะอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงอยู่ภายในปาก ไม่สามารถนำออกมาแสดงให้เห็นได้
เมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้การฟัง การพูดมีความมั่นใจและถูกต้อง ชัดเจนการฝึกออกเสียงจึงถือว่าเป็นปฐมบทของการเรียนรู้ในเรื่องการฟังและการพูดอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การพูดภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาใด ๆ ให้ได้ดีก็ต้องอาศัยทักษะทั้งทางด้านภาษา และการออก

              ไวยกรณ์ (grammar) ไวยกรณ์ก็เป็นกฎเกณฑ์ของการเรียบเรียงคำในภาษา เบื้องต้นที่เรารู้จักกัน และที่คล้ายกับในภาษาไทยก็คือ เรื่องประธาน กริยา และกรรม  แต่ไวยกรณ์ในภาษาอังกฤษมีเรื่องของรายละเอียดมากกว่าภาษาไทยเยอะมาก
           คำศัพท์ (vocabulary คนไทยเราก็นิยมท่องศัพท์กันอยู่แล้ว  ขอย้ำอีกครั้งว่า การเรียนคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเด็ก ๆ มักจะท่องคำแปลกันเฉย ๆ  เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องครับ มันใช้ได้กับศัพท์ง่าย ๆ เท่านั้นเอง เช่น dog แปลว่า หมา  วิธีที่ถูกต้องคือต้องรู้ความหมาย ไม่ใช่คำแปล ความหมายนี้มันถึงกว่าคำแปลครับ มันคือ คุณรู้ว่าคำนั้น ๆ ใช้ในสถานการณ์ไหน แล้วหมายความว่าอะไร
ต้องรู้วิธีใช้   อันนี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องไวยกรณ์  เช่น บางทีคำต้องใช้แบบเป็นคำคุณศัพท์ หรือคำกริยา เช่น interested หมายความว่า รู้สึกสนใจ เวลาใช้ก็ต้องพูดว่า  I am interested ไม่ใช่ I interested เป็นต้น ต้องรู้การออกเสียง  เห็นคำใหม่ ๆ อย่าไปทึกทักเอาเองว่า ออกเสียงอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าไม่แน่ใจ เปิดพจนานุกรมก่อนค่อยจำ  อันนี้ก็เป็นความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งของการเรียนศัพท์ของคนไทย ที่ไปใช้พจนานุกรมไทย-อังกฤษ บางฉบับก็ไม่มีคำอ่านให้ บางฉบับมีคำอ่านแต่ก็ไม่บอกว่าเน้นพยางค์ไหน และทุกฉบับก็ไม่มีมาตรฐานกลางว่า การใช้ภาษาไทยแทนการออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นส่วนที่หนังสือเล่มนี้จะมาช่วยแก้ไข ซึ่งผมจะกล่าวในบทต่อไป
           สำนวนของภาษาพูด   เรารู้คำศัพท์ และรู้ไวยกรณ์ ก็ยังไม่พอนะครับ  ยังต้องรู้สำนวนที่เขาใช้กันอีก  สำนวนในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึง สแลง (slang) อย่างเดียวนะครับ  สแลง คือ สำนวนที่พูดแล้วมีความหมายพิเศษ ไม่ตรงกับความหมายของการใช้คำนั้น ๆ โดยตรง ส่วนใหญ่ก็เป็นการใช้ในภาษาพูด หรือการใช้แบบไม่เป็นทางการ และ ก็มักเป็นการใช้เฉพาะในท้องถิ่น  ตัวอย่างเช่น คำว่า cool โดยปกติก็แปลว่าเย็น แต่ก็เอามาใช้อธิบายสถานการณ์ หรืออธิบายคนได้ แปลว่า เจ๋ง หรือเยี่ยม  อันนี้ก็เป็นสแลงของอเมริกัน ที่แผ่ขยายไปใช้กันทั่วโลกนะครับ
              สแลงถือเป็นส่วนน้อยของสำนวนการพูดครับ  มีสำนวนอีกเยอะแยะที่เป็นพื้นฐานที่เขาใช้กันทั้งไป ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน ตัวอย่างเช่น การขอร้องให้คนช่วยพูดอย่างไร  การพูดแนะนำเส้นทางพูดอย่างไร เป็นต้น  อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การใช้คำคู่ต่าง ๆ ก็มีมากมาย ซึ่งบางครั้งก็มีที่ใช้พิเศษของมัน เช่น เวลาเปิดไฟ ปิดไป เขาก็พูดว่า turn on the light กับ turn off the light   ไม่ได้พูดว่า open หรือ close

            การเน้นเสียงพยางค์ (stress)  ข้อนี้สำคัญมากเช่นกัน คำแต่ละคำมีการเน้นพยางค์ไม่เหมือนกัน  ส่วนใหญ่เน้นแค่พยางค์เดียว แต่บางคำก็เน้นสองพยางค์ มีพยางค์ที่เน้นหนักที่หนึ่ง กับหนักที่สอง  เช่น information อ่านว่า [อิน]-ฟอร์-[[เม้]]-ชั่น  ผมขอใช้สัญลักษณ์ [] เพื่อแสดงการเน้นนะครับ  [[ ]]  ก็เน้นมากกว่า  [ ]  ใครมีพจนานุกรมที่ออกเสียงได้ ลองฟังเสียงของคำนี้ดู
ข้อนี้คนไทยทำได้ไม่ยาก แต่ปัญหาอยู่ที่การเน้นผิดพยางค์ หรือ ไม่เน้นพยางค์ไหนเลย  ตัวอย่างเช่น คำว่า effect ซึ่งบางคนยืมมาใช้ทับศัพท์ในภาษาไทย เวลาพูดในภาษาอังกฤษก็ไปออกเสียงเน้นพยางค์แรก หรือทั้งสองพยางค์ว่า เอฟเฟค แต่จริง ๆ แล้วคำนี้ต้องเน้นที่พยางค์ที่สอง โดยออกเสียงว่า  -อิ-[เฟคท]- หรือ -เอะ-[เฟคท]-  เพราะฉะนั้นเวลาเรียนคำศัพท์ใหม่  ๆ ให้สนใจไม่ใช่เฉพาะออกเสียงพยัญชนะ และสระเท่านั้น  เราต้องสนใจว่าเน้นพยางค์ไหนด้วย

         ท่วงทำนอง (intonation)  คือ การเน้นคำ หรือทำเสียงสูงต่ำเมื่อพูดเป็นประโยค  (หรือไม่เต็มประโยคก็ได้) ตัวอย่างเช่น ประโยคคำถามที่ต้องตอบใช่หรือไม่ใช่  ต้องลงท้ายด้วยเสียงสูง  เช่น  Are you Thai?   คำแรกเป็นคำที่เสริม (functional word) โดยทั่วไปก็พูดแบบไม่ต้องเน้น  ส่วนคำหลังสุดต้องออกเสียงตรี หรือถ้าคนถาม ถามแบบแปลกใจนิด ๆ (แบบว่าหน้าไม่เหมือนไทย คนไทยหรือวะ) จะขึ้นสูงเป็นเสียงจัตวาเลยก็ได้  นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation   แล้ว intonation คืออะไร? มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค จะมีการขึ้น การลงของเสียง ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้ นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย

โดยปกติแล้ว รูปแบบของ intonation ในภาษาอังกฤษจะมี 2 รูปแบบหลักๆคือ
1. falling intonation   การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น