วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Practice Vocubulary





Practice vocabulary




ทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ที่ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจําวันเรา  เด็กทุกวันนี้ก็เรียนรู้ ภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล เรียนไปเรื่อย ๆทั้ง grammar และ Conversation  เด็กเหล่านี้โชคดีที่เกิดมา พร้อมยุคสมัยที่การเรียนการสอนพัฒนาไปไกล และการสื่อสารที่รวดเร็ว  สามารถเรียนรู้ได้ง่ายจากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น internet, movie, music, newspaper ที่หาได้ง่ายๆ       แต่ถึงใครบางคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ก็ ยังสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะศัพท์ต่างๆ เพราะคำศัพท์เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของภาษาอังกฤษ ซึ่งนักเรียนจะต้องเตรียมคำศัพท์เพื่อให้ทันกับโลกปัจจุบัน   ความท้าทายของการสอนคำศัพท์คือการสร้างแผนการสอนที่มีทั้งประสิทธิภาพและความบันเทิง  เช่น ที่เห็นได้ทุกวัน เช่น หยิบถ้วยชง กาแฟ ดูที่เครื่องทําน้ำร้อน หรือกาต้มน้ำ ก็จะเห็นภาษาอังกฤษเขียนไว้ เราก็อ่านและจดจํา ก็ได้คําศัพท์ไป แล้ว  ตั้งหม้อข้าวหุงข้าว กดปุ่ม เราก็ได้ภาษาอังกฤษไปล่ะหลายศัพท์  ไปซักผ้า กดปุ่มซักผ้า ซึ่งมีปุ่มเยอะแยะ มากมาย อ่านไม่ออกก็ถือ dictionary ไปเปิดดูด้วย สงสัยศัพท์ไหนเปิดดู เราก็ได้ภาษาไปแล้ว       




นี่เป็นการแนะนําการเรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวัน ซึ่งเราเกี่ยวข้องด้วยทุกวันอย่างเลี่ยง ไม่ได้ โดยเราจะมาเรียนภาษาอังกฤษจากสิ่งที่พบเห็เพราะคนที่รู้ภาษาอังกฤษมากกว่า จะสามารถก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งระดับสูง หรือศึกษาต่อระดับปริญญาโทหรือเอกได้ง่ายกว่ามาก หรือบางคนอาจจะค้นพบโอกาสทางธุรกิจจากการอ่านเว็บไซต์ หรือวารสารจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จเพราะทราบโอกาสกว้างขวางกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ความแตกต่างด้านรายได้ของแต่ละบุคคล จะอยู่ที่ 5 ถึง 10 ล้านบาทขึ้นไปตลอดอายุการทำงาน ยิ่งคนที่ถือได้ว่า เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ รู้ศัพท์ 10,000 คำขึ้นไป ก็จะสามารถอ่านนิตยสารของเจ้าของภาษา เช่น Time, Fortune เว็บไซต์ เช่น Business 2 ดู CNN, CNBC เข้าใจได้ดี ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือทำธุรกิจติดต่อกับต่างประเทศได้ประสบความสำเร็จ และสามารถทำรายได้ได้กว่า 100,000 บาทหรือหลายแสนบาทต่อเดือน ขณะที่อีกคนมีความสามารถด้านอื่น ๆ เทียบเท่ากัน แต่มีความรู้ภาษาขั้นปานกลางเท่านั้น อาจจะมีรายได้ตันอยู่ที่ 50,000 บาทต่อเดือน เพราะข้อจำกัดด้านภาษา ความแตกต่างของสองคนนี้สูงถึงกว่า 50,000 บาทต่อเดือน หรือ 600,000 บาทต่อปี หากสองคนนี้มีรายได้ระดับสูง ตั้งแต่อายุ 35-55 ปี ความแตกต่างตลอดอายุการทำงาน 20 ปีนี้ ก็จะอยู่ที่ 12,000,000 บาทขึ้นไป เพียงรู้ศัพท์ต่างกันไม่กี่พันคำ รายได้ก็ต่างกันเท่ากับมูลค่าของบ้านหรูหลังหนึ่งเลยทีเดียว


               ศัพท์บางคำที่เราเรียนรู้ไป เป็นคำที่แทบไม่ได้ใช้เลยในชีวิตจริง คำเหล่านี้เป็นคำที่ไม่คุ้มค่าที่จะเรียนในตอนต้น เพราะว่า ทำให้เราก้าวหน้าได้ช้า และเมื่อไม่ได้ใช้นาน ๆ ก็อาจจะลืมไปเลย การเรียนรู้ควรเรียงตามลำดับความสำคัญหรือความถี่ ทีคำศัพท์นั้นปรากฎขึ้นในการใช้งาน เช่น ศัพท์คำว่า particular (เฉพาะเจาะจง) แม้ว่าอาจจะดูยาวอยู่บ้าง แต่เป็นคำที่ปรากฎบ่อยมากในข้อความภาษาอังกฤษ หรือคำว่า yeah (ใช่) และประโยค What's up? (เป็นไงบ้าง) ที่ชาวต่างชาติใช้บ่อยมากในชีวิตจริง แต่มีตำราภาษาอังกฤษไม่กี่เล่มที่กล่าวถึง การศึกษาในสิ่งที่จำเป็นก่อน ดังตัวอย่างข้างต้น ผู้เรียนจะพัฒนาได้เร็วกว่าการไปจำศัพท์ที่ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ค่อยได้ใช้งานจริง การพัฒนาความเข้าใจ ที่ไม่ใช่แค่ความจำ คำศัพท์จำเป็นต้องเห็นคำศัพท์นั้นในหลายแง่มุม ทั้งทราบคำแปล เห็นตัวอย่างประโยค และอ่านพบคำศัพท์นั้นในบริบทการใช้งานจริง ตัวอย่างเช่น คำว่า bored (รู้สึกเบื่อ) กับ boring (น่าเบื่อ) โดยทั่วไปผู้เรียนจะสับสนแม้จะอ่านคำแปลแล้วก็ตาม จึงควรเห็นจากตัวอย่างประโยคว่า He's bored. หมายถึง เขาเบื่อ ขณะที่ He's boring. หมายถึง เขาเป็นคนน่าเบื่อ ซึ่งความหมายแตกต่างกันมาก นอกจากนั้น การจะจำคำศัพท์ได้จริง ๆ ยังต้องทบทวนอย่างต่อเนื่องซ้ำถึง 5-16 ครั้งจนกว่าคำศัพท์นั้นจะไปอยู่ในระบบความจำระยะยาว (long-term memory) หากเราพบคำศัพท์แล้วไม่ทบทวนซ้ำภายในระยะเวลาหนึ่ง ก็จะต้องตั้งต้นใหม่
              ในระดับเริ่มต้น (Beginner) ผู้เรียนยังไม่รู้คำศัพท์มากพอ การสั่งสมคำศัพท์ควรจะเน้นที่การภาพประกอบร่วมกับคำแปล แล้วทวนซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยอาจใช้การ์ดคำศัพท์หรือซอฟต์แวร์ช่วย ที่สำคัญ คือ ผู้เรียนควรจะเห็นตัวอย่างประโยคประกอบด้วย เพื่อจะทราบว่าคำศัพท์นั้นใช้งานอย่างไร นอกจากนี้การอ่านบทสนทนาแบบง่าย ๆ ในตำราเรียน ก็จะช่วยได้มาก เมื่อผู้เรียนเริ่มเข้าสู่ระดับกลางล่าง (Lower-Intermediate) ผู้เรียนจะทราบศัพท์มากเพียงพอที่จะอ่านเนื้อหาที่เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ผู้เรียนควรฝึกอ่านบทสนทนาที่ยาวขึ้น พร้อมด้วยเรื่องสั้นที่แต่งขึ้นเพื่อการเรียนรู้ภาษาด้วยเฉพาะ (graded readers) ซึ่งจะใช้คำศัพท์ที่จำกัด ทำให้ผู้ที่ยังไม่เก่งภาษานั้นก็สามารถอ่านได้เข้าใจ
               สำหรับในระดับกลางสูง (Upper-Intermediate) วิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้คำศัพท์ คือ การอ่านให้มากและต่อเนื่อง และเมื่อพบคำศัพท์ที่ไม่รู้บ่อย ๆ ก็เปิดพจนานุกรม หากอ่านมากเพียงพอ (ประมาณ 100-200 หน้าต่อสัปดาห์) ก็จะสามารถจำศัพท์สำคัญเหล่านั้นได้ในระยะยาว แต่หากอ่านไม่มากขนาดนั้น ก็ควรจดคำศัพท์ใหม่ที่พบซ้ำ ๆ เอาไว้ เพื่อใช้ในการทบทวนโดยเฉพาะ แต่วิธีนี้ไม่ได้ผลดีนักกับการเรียนรู้คำศัพท์ระดับสูง (Advanced) (คำที่ 6000 ขึ้นไป) เพราะคำศัพท์เหล่านั้นปรากฏน้อยกว่า 1 ครั้งในข้อความ 100,000 คำ (หรือ 300 หน้า) หากการจะจดจำคำศัพท์ได้ในหน่วยความจำระยะยาวจำเป็นต้องพบคำศัพท์นั้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การจดจำคำศัพท์ระดับสูงเหล่านี้จากการอ่านเพียงอย่างเดียวจะยากมาก เพราะจำเป็นต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอย่างน้อยสัปดาห์ละ 300 หน้า หรือมากกว่านั้นถ้าต้องการเรียนรู้คำศัพท์ระดับที่สูงขึ้นไปอีก ดังนั้น การพัฒนาคำศัพท์ระดับสูงนี้ จึงควรใช้วิธีทบทวนอย่างเป็นระบบร่วมด้วย ซึ่งอาจใช้การ์ดคำศัพท์หรือซอฟต์แวร์ในการทบทวน การฝึกฝนจากการอ่านเพียงอย่างเดียว จะก้าวหน้าได้ช้ากว่าผู้ที่ใช้วิธีทบทวนอย่างเป็นระบบร่วมด้วย เพราะฉะนั้นคำศัพท์จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของภาษาทุกภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้เพื่อสื่อความหมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการหรือความรู้ต่าง ๆ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การมีความรู้และความสามารถในการใช้คำศัพท์ของบุคคล ๆ หนึ่ง ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกว่าบุคคลผู้นั้นสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด คำศัพท์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนอยู่เสมอ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ และคำศัพท์ก็มีความสำคัญในลักษณะเดียวกันในการเรียนภาษาต่างประเทศ ซึ่งถ้าผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในภาษาใหม่ไม่เพียงพอ ผู้เรียนก็จะประสบปัญหาในการสื่อความหมายและความต้องการของตนเองในการใช้ภาษาต่างประเทศ และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังได้อ่านที่นำเสนอเป็นภาษาต่างประเทศ ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จในการสื่อสาร
จากที่ดิฉันได้ศึกษาในเว็บไซต์ www.myvocabularysize.com ซึ่งเว็บไซต์นี้จะเป็นการทดสอบระดับสติปัญญาของเราในด้านของคำศัพท์ว่าเราอยู่ในระดับไหน มีคำศัพท์มากน้อยเพียงใด ซึ่งหน้าแรกของเว็บไซต์นี้ก็มีให้เราเลือกว่าสถานภาพของเราคืออะไร ก็จะมีครูผู้สอน นักเรียนนักศึกษา และนักวิจัย ซึ่งระดับของเราก็คือนักเรียนนักศึกษานั่นเอง ซึ่งจะมีให้เราได้ทดสอบคำศัพท์ว่าเรารู้แค่ไหน เขาต้องการให้เรามีคำศัพท์ที่เพิ่มขึ้นและพัฒนาด้านคำศัพท์ของเรา รวมทั้งยังมีเกมฝึกคำศัพท์อีกด้วย โดยดิฉันจะคลิกที่ Take the vocub test มันก็จะขึ้นให้เลือกใส่ภาษาถิ่นของเรา ซึ่งก็คือภาษาไทยนั่นเอง จากนั้นก็คลิก OK มันก็จะแสดงข้อแนะนำการใช้มาให้เรา ซึ่งมันจะมี100ข้อและแสดงคำศัพท์พร้อมยกตัวอย่างการใช้มาให้ หากเราไม่เคยพบหรือเห็นคำศัพท์นั่นมาก่อนให้เลือก I don’t know และข้อแนะนำสุดท้ายก็คือ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขคำตอบได้ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะคิดให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด เพื่อให้ผลการทดสอบออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด หากเราทำเล่น ๆ ไม่จริงจัง มันก็เสียเวลา เปล่าประโยชน์และไม่ได้ความรู้ใดๆติดสมองไปเลย
ตัวอย่างเช่น
write:
Please write it here.
o   make something better
o   move to a new place
o   cut into pieces
o   make words on paper
o   I don’t know
              ซึ่งนอกจากนี้ดิฉันยังมีเทคนิคที่ใช้ในการฝึกฝนด้านคำศัพท์ เพื่อเพิ่มคลังศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครแก่เกินเรียน ไม่ว่าเราจะเพิ่งแตกเนื้อสาวหรือเข้าสู่บั้นปลายชีวิตแล้ว เราก็สวมหน้ากากแห่งผู้รู้ได้เสมอด้วยการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ ๆ นิสัยรักการเรียนรู้และฝึกใช้ศัพท์ใหม่ๆ ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้เราสื่อสาร เขียน และคิดเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
วิธีแรกคือการอ่าน เมื่อเราเรียนจบแล้ว คุณก็จะไม่ได้เขียนตามคำบอกหรือมีการบ้านที่บังคับให้คุณต้องเรียนรู้ศัพท์ใหม่อีกแล้ว และก็อาจจะทำให้คุณเลิกอ่านหนังสือไปโดยปริยายด้วย ถ้าคุณอยากเพิ่มคลังศัพท์ในหัว คุณต้องตั้งกฎเกี่ยวกับการอ่านหนังสือขึ้นมาแล้วปฏิบัติตามนั้น โดยเริ่มจากการอ่านหนังสือเล่มใหม่สัปดาห์ละเล่ม หรืออ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า เลือกความถี่และระยะเวลาที่เหมาะกับตัวเอง และจัดเวลาอ่านหนังสือให้อยู่ในตารางชีวิตของเรา
              ในหนึ่งสัปดาห์ พยายามอ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มและนิตยสารอีกหลาย ๆ เล่มสม่ำเสมอ เพราะนอกจากคุณจะได้เพิ่มพูนคลังศัพท์แล้ว คุณยังได้รู้ทั้งเรื่องราวใหม่ ๆ และเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วอยู่ตลอดเวลา ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ของคุณก็จะมากขึ้น และพอมีความรู้มากขึ้น คุณก็จะกลายเป็นคนฉลาดและรอบรู้ การอ่านวรรณกรรมคลาสสิก. ท้าทายตัวเองด้วยการอ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่เวลาและความชอบจะอำนวย อ่านงานเขียนคลาสสิก อ่านนิยายทั้งใหม่และเก่า อ่านกวีนิพนธ์หรืองานยาก ๆ ลองอ่านหนังสือที่ไม่ใช่นิยายและหนังสือเฉพาะทางบ้าง เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีเรื่องใหม่ ๆ มีศัพท์ใหม่ ๆ ให้พูดแล้ว ยังช่วยเปิดมุมมองวิธีคิดใหม่ ๆ ด้วย รวมทั้งการอ่านพจนานุกรม. ด่ำดิ่งลงไปในห้วงคำศัพท์ อ่านความหมายและคำอธิบายศัพท์ที่คุณไม่รู้ให้หมด สิ่งที่คุณต้องมีคือพจนานุกรมดี ๆ สักเล่มเพื่อให้การอ่านพจนานุกรมน่าสนใจขึ้น ลองหาซื้อพจนานุกรมที่มีคำอธิบายยาว ๆ ทั้งที่มาของศัพท์และหลักการใช้ เพราะจะช่วยให้คุณจำศัพท์ได้มากขึ้นและเพลิดเพลินไปกับการอ่านพจนานุกรมมากกว่าเดิมด้วย และการอ่านอรรถาภิธาน. หาศัพท์ที่คุณใช้บ่อยเพื่อที่จะได้รู้ศัพท์ใหม่ ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำที่คุณใช้ และลองฝึกใช้คำใหม่ ๆ นั้นด้วย
              วิธีที่สองคือการตั้งเป้าหมาย. ถ้าคุณตั้งมั่นแล้วว่าจะพัฒนาคลังศัพฺท์ของตัวเองให้ได้ คุณก็ต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเองด้วย พยายามเรียนรู้ศัพท์ใหม่สัปดาห์ละสามคำ แล้วลองพูดหรือเขียนโดยใช้คำนั้น ๆ ถ้าคุณตั้งใจจริงแล้วละก็ คุณจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่อีกหลายพันคำ แถมยังจำได้และใช้เป็นอีกด้วย ถ้าคุณไม่สามารถใช้คำได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องแล้วละก็ นั่นหมายความว่าคำนั้นไม่เหมาะจะอยู่ในคลังศัพท์ของคุณ ถ้าศัพท์ใหม่ 3 คำต่อสัปดาห์ง่ายเกินไปสำหรับคุณ ลองเพิ่มจำนวนดู เช่นเปลี่ยนจาก 3 คำเป็น 10 คำต่อสัปดาห์ อย่าริเรียนคำใหม่ 20 คำต่อวัน เพราะมันยากที่จะเอาทุกคำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ทำเท่าที่ทำได้และสร้างคลังศัพท์ที่คุณใช้เป็นจริง ๆ จะดีกว่า
              การใช้บัตรคำหรือกระดาษ post-it แปะให้ทั่วบ้าน. ถ้าคุณกำลังสร้างนิสัยเรียนรู้ศัพท์ใหม่ ลองใช้เทคนิคง่าย ๆ เหมือนตอนที่กำลังเตรียมสอบสิ เขียนศัพท์พร้อมกับความหมายลงใน post-it แล้วแปะไว้เหนือเครื่องชงกาแฟ เพราะคุณจะได้เห็นศัพท์ขณะชงกาแฟไปด้วย หรือจะติดศัพท์ไว้ที่กระจก เวลาเราแต่งตัวก็จะได้ฝึกท่องไปด้วยหรือตอนดูทีวีหรือทำอย่างอื่นก็อย่าลืมเอาบัตรคำไว้ใกล้ ๆ ตัวแล้วอ่านศัพท์ใหม่ไปด้วย ต้องเรียนรู้ตลอดเวลานะ
               การเขียนเยอะ ๆ ถ้าไม่เคยเขียนไดอารี่ก็เขียนซะ หรือไม่ก็เขียนบล็อกก็ได้ การใช้ทักษะการเขียนบ่อย ๆ จะทำให้คุณนึกศัพท์ดี ๆ ได้เสมอ และการเขียนจดหมายหาเพื่อนเก่าและเล่ารายละเอียดเยอะ ๆ ถ้าปกติคุณเป็นคนเขียนจดหมายหรืออีเมล์สั้น ๆ และใช้ภาษากันเอง ลองเปลี่ยนแนวการใช้ภาษาและเขียนให้ยาวขึ้น ค่อย ๆ ละเมียดละไมเขียนเหมือนตอนเขียนเรียงความส่งครู เลือกใช้คำสวย ๆ ด้วยนะ ลองรับผิดชอบงานที่ต้องใช้ทักษะการเขียนดูบ้าง ถ้าปกติแล้วคุณมักจะเกี่ยงงานอย่างการเขียนบันทึกข้อความ เขียนอีเมล์ถึงเพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คน หรือเข้าร่วมการอภิปรายกลุ่ม ลองเปลี่ยนนิสัยแล้วเขียนให้มากขึ้น เขาอาจจะจ้างคุณให้เรียนศัพท์เพิ่มด้วยก็ได้นะ
              การใช้คุณศัพท์ที่ถูกต้องและใช้นามให้เจาะจง นักเขียนที่ดีจะพยายามเขียนให้สั้นกระชับและถูกต้อง เปิดอรรถาภิธานและเลือกคำที่มีความหมายตรงกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อมากที่สุด อย่าใช้ถึง 3 คำถ้าใช้คำเดียวได้ เพราะประโยชน์ที่แท้จริงของการเรียนรู้ศัพท์ใหม่คือการที่คุณสามารถลดจำนวนคำในประโยคได้ 

               นอกจากนี้การเล่มเกมปริศนาอักษรไขว้หรือเกมทายศัพท์อื่น ๆ. เกมปริศนาอักษรไขว้คือแหล่งเพิ่มพูนคลังศัพท์ชั้นดี เพราะคนคิดเกมก็จะต้องไปหาคำแปลก ๆ มาเพื่อให้มันลงล็อกกับตารางพอดี แถมยังต้องเป็นคำที่คนเล่นรู้สึกสนุกด้วย เกมปริศนาทายศัพท์มีเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Crossword เกมหาคำที่ซ่อนอยู่ในตัวหนังสือ หรือเกมที่มีคำกำหนดมาให้แล้วให้เราไล่หา เกมปริศนาเหล่านี้นอกจากจะเพิ่มคลังศัพท์ในหัวแล้ว ยังช่วยฝึกทักษะคิดวิเคราะห์อีกด้วย นอกจากเกมปริศนาแล้ว ยังมีเกมที่เกี่ยวกับการใช้ศัพท์อื่น ๆ อีกด้วย เช่น Scrabble ที่ช่วยให้คุณรู้ศัพท์มากขึ้น
รวมทั้งการเรียนภาษาละติน ถึงละตินจะเป็นภาษาที่ตายแล้ว แต่การรู้ภาษาละตินบ้างเล็กน้อยคือวิธีการเรียนรู้รากศัพท์ภาษาอังกฤษ และช่วยให้คุณเดาความหมายศัพท์ที่คุณไม่รู้ได้โดยที่คุณไม่ต้องเปิดพจนานุกรม มีฐานข้อมูลภาษาละตินและหนังสือภาษาละตินมากมาย


การเรียนรู้ภาษาอย่างมีความหมาย คือ การจัดการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่ให้ความสำคัญกับความหมายของภาษาเป็นประการแรก คนที่เรียนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศได้นั้น นอกจากจะต้องมีความตั้งใจจริงแล้ว เขาจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง หรือได้เรียนด้วย ในการสอนนั้นข้อมูลที่จะให้กับนักเรียนจะต้องเป็นสิ่งที่นักเรียนรู้และเข้าใจ การให้นักเรียนฟังข้อความ คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่นักเรียนไม่เข้าใจ จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเลย ดังนั้น ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องจัดเป็นสถานการณ์การเรียนรู้จริงหรือเหมือนจริงให้กับผู้เรียน และมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือฝึกปฏิบัติกิจกรรมกับเพื่อนได้ ซึ่งในการสอนคำศัพท์ก็เช่นเดียวกัน ครูจะต้องสร้างสถานการณ์ที่เป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาจริง เพื่อนักเรียนจะเข้าใจถึงความหมาย และสามารถใช้คำศัพท์เหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งได้ฝึกภาษาในสถานการณ์ที่มีโอกาสได้พบจริงในชีวิตประจำวัน
ส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษก็คือ การเรียนรู้คำศัพท์ ดังที่ Meara (1999) ได้เน้นถึงความสำคัญของเรื่องนี้เอาไว้ว่า “Vocabulary is beginning to occupy a central place in the way people learn a language. Learning words and their meanings and how they are used is increasingly seen as the key to learning a language, not just an annoying or irrelevant side activity.” (การเรียนรู้) คำศัพท์ได้เริ่มกลายเป็นจุดศูนย์กลางของวิธีที่ผู้คนเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้คำ, ความหมายและการใช้คำ ได้รับการยอมรับสูงขึ้นในฐานะของการเรียนรู้ภาษา ไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรมประกอบที่น่ารำคาญหรือไม่เกี่ยวข้อง (กับการเรียนรู้ภาษา) ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า " ถ้าไม่มีความรู้ด้านไวยากรณ์ เราก็จะสื่อสารได้ไม่มากนัก แต่ถ้าไม่รู้คำศัพท์ เราก็ไม่สามารถจะสื่อความหมายได้เลย"  การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนต้องมีความรู้ด้านไวยากรณ์และคำศัพท์อย่างสมดุลกัน เพื่อให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษน่าสนใจ ซึ่งการสอนคำศัพท์ ที่มีจุดหมายให้ผู้เรียนนำไปสื่อสารได้นั้น ผู้เรียนต้องมีความรู้ด้านคำศัพท์อย่างลึกซึ้งในเรื่องดังต่อไปนี้ การออกเสียง การสะกดคำ การใช้คำศัพท์ร่วมกับคำอื่น การจดจำได้ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน การนำคำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ ถูกหลักไวยากรณ์ และเหมาะสมกับสถานการณ์ คำศัพท์ที่ควรนำมาสอนนั้น ควรเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จริงในชีวิต คำศัพท์ที่ควรนำมานั้น ควรเป็นคำศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์และความสนใจของผู้เรียน และผู้เรียนได้มีโอกาสนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นคำศัพท์ที่อยู่ในหนังสือเรียน สื่อการสอน ตัวผู้เรียน หรือครูผู้สอน นอกจากนี้ควรมีปริมาณคำศัพท์ที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนด้วย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น