วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การพัฒนาภาษาอังกฤษก่อนเข้าสู่อาเซียน






การพัฒนาภาษาอังกฤษก่อนเข้าสู่อาเซียน




 ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาของประเทศไทย การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกทำให้มีการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนามากขึ้นและการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี2015จะทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อการพัฒนาเป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน
โดยการพัฒนาการศึกษาควรให้ความสนใจกับเนื้อหาของผลการวิจัยของ WEF ที่จะรวบรวมคุณภาพทางการศึกษาของแต่ละประเทศแล้วจัดเป็นลำดับคะแนน ซึ่งหากประเทศไทยยังคงไม่เริ่มต้นการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างจริงจัง คะแนนของการศึกษาไทยอาจถูกเลื่อนลำดับในทุกประเภทการสำรวจ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรงในระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในอนาคต ภาษาอังกฤษจะเป็นคำตอบให้กับการศึกษาของประเทศไทย เพราะความสามารถที่มากขึ้นในด้านภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบความคิดและการจัดการความรู้ของนักเรียนได้ โดยนักเรียนที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นและมีความพร้อมในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนมากกว่า นอกจากนี้ยังจำเป็นจะต้องเปลี่ยนการการบรรยายและการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม โดยห้องเรียนควรปรับเปลี่ยนเป็นห้องการสัมมนาที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถกเถียงในประเด็นต่างๆได้อย่างทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนมีบทบาทในการเรียนและตะหนักถึงความสำคัญของตนในการช่วยพัฒนาผู้อื่น การเรียนภาษาอังกฤษจะต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติอย่างเร่งด่วน เพราะตามกฎบัตรอาเซียนที่ได้ตกลงกันไว้ ภาษาอังกฤษจะทำหน้าที่เป็น "ภาษาราชการของอาเซียน" หมายถึง การดำเนินธุรกิจภายในภูมิภาคอาเซียนจะใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร
          ในสังคมโลกปัจจุบัน คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลของโลกที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  และเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนไม่น้อย จากอิทธิพลของความก้าวไกลทางด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารส่งผลให้ภาษาอังกฤษยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร การศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย รวมถึงการประกอบอาชีพ หลายคนอาจผิดหวังว่า ทำไมอาเซียนเราต้องไปใช้ภาษาฝรั่งมังค่าที่อยู่ห่างไกลไม่ใช้ภาษาในแถบนี้กันเองเป็นภาษากลางทั้งนี้ เนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า ชาติอาเซียนมีความหลากหลายทั้งชาติพันธุ์ วัฒนธรรม รวมทั้งภาษา  เมื่อพูดคุยกับคนจากชาติสมาชิกอาเซียนอื่น ส่วนใหญ่จะไม่สามารถสื่อสารกันได้ หากไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ยกเว้นกรณีภาษาไทยกับภาษาลาว และภาษามาเลเซียกับภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งมีความใกล้เคียงกันอยู่พอสมควร แต่กระนั้น แม้แต่ในประเทศอินโดนีเซียเอง ยังมีภาษาที่แตกต่างกันกว่า 100 ภาษา ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า การสื่อสารกันในหมู่ชาวอาเซียนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ครั้นจะกำหนดให้ภาษาของชาติอาเซียนชาติใดชาติหนึ่งเป็นภาษากลาง ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่สามารถใช้เป็นภาษากลางได้อย่างแท้จริง อีกทั้งชาติอาเซียนอื่น คงจะไม่ยอม สรุปว่า อาเซียนต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้      เมื่อพิจารณาถึงทักษะภาษาอังกฤษของชาติอาเซียนพบว่า ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง จากการจัดอันดับของ IMD World Competitive Yearbook 2011 พบว่า ในหมู่ชาติอาเซียน สิงคโปร์มีระดับทักษะภาษาอังกฤษสูงสุด ตามมาด้วยฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ไทยเราเป็นรองแม้กระทั่งอินโดนีเซีย ดัชนีดังกล่าวสอดคล้องกับการจัดอันดับของ English Proficiency Index (EFI) ที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ กลุ่มประเทศที่มีทักษะภาษาอังกฤษระดับสูงมาก ระดับสูง ระดับปานกลาง ระดับต่ำ และระดับต่ำมากปรากฏว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ใน “ระดับต่ำมาก” ทั้งยังอยู่ในลำดับที่ต่ำกว่าอินโดนีเซียและเวียดนามเสียอีก  นอกจากนี้ จากการเก็บข้อมูลคะแนนทักษะภาษาอังกฤษจากการสอบ TOEFL ของบัณฑิตจากประเทศอาเซียน พบว่า สิงคโปร์กับฟิลิปปินส์เป็นสองชาติที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่า 550 มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม และกัมพูชา ได้คะแนนเฉลี่ยมากกว่า 500 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของบัณฑิตไทยได้ต่ำกว่า 500 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับบัณฑิตจากประเทศลาว ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า คนไทยยังมีปัญหาในทักษะภาษาอังกฤษจริงๆ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่กังวลกันในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  คนไทยเรามักจะพูดกันเสมอว่า “ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร เราจึงไม่ถนัดภาษาอังกฤษเหมือนกับประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก” คำกล่าวเช่นนี้ คงสามารถอ้างได้เพียง 30-40 ปีหลังประเทศเหล่านั้นได้รับเอกราช ในช่วงที่คนที่ได้รับการศึกษาหรือทำงานในระบบของประเทศเจ้าอาณานิคมยังทำงานและยังมีชีวิตอยู่ แต่จะไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมชาติเหล่านั้นยังคงมีทักษะความสามารถทางภาษาอังกฤษดีกว่าไทยเราอย่างมาก แม้จะได้รับเอกราชมานานกว่า 50 ปี หรือ 60 ปีแล้ว และยิ่งอธิบายไม่ได้เมื่อเวียดนามกับกัมพูชา ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเพิ่งจะเริ่มพัฒนาขึ้นมากลับได้รับการจัดระดับทักษะภาษาอังกฤษดีกว่าไทย                           ดังนั้นการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจึงควรจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเรียนการสอนภาษาอังกฤษต้องเน้นการสื่อสาร (communicative approach) ให้มากกว่าการเรียนแบบเน้นไวยากรณ์ ที่มักทำให้ผู้เรียนติดกับดักไวยากรณ์ จนสามารถพูดหรือสื่อสารได้น้อย ยิ่งเมื่อมาผนวกกับวัฒนธรรมแบบไทยๆที่ไม่กล้าแสดงออกกลัวอับอายถ้าพูดผิด ยิ่งทำให้ไม่สามารถพัฒนาทักษะความสามารถด้านภาษาอังกฤษได้เท่าที่ควร        ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ทักษะภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้เฉพาะแค่ในประชาคมอาเซียน แต่ยังมีประโยชน์และขาดไม่ได้ในการติดต่อสื่อสาร ค้าขายกับนานาประเทศทั่วโลกอีกด้วย
          หลักสูตรการศึกษาระดับขั้นการศึกษาพื้นฐาน ไม่ได้มองข้ามความสำคัญและความจำเป็นของภาษาอังกฤษ  มีการกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานซึ่งนักเรียนทุกคนต้องได้เรียนรู้  เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน เข้าใจความแตกต่างของภาษา การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และสามารถสื่อสารกับชาวชาติได้ รวมทั้งช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนได้ง่ายและกว้างขึ้น ในขณะที่ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เช่น  ภาษาจีน  ภาษาญี่ปุ่น  ภาษาเกาหลี เป็นต้น สถานศึกษาสามารถจัดสอนได้ตามความเหมาะสมโดยให้อยู่ในดุลพินิจจะเห็นว่าได้ว่าในบ้านเรา แม้รัฐบาลบังคับให้ทุกคนเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน   แต่ก็ยังมีคนไทยจำนวนมากที่พูดภาษาอังกฤษ หรือไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ได้  ทั้ง ๆ ที่รวมเวลาในการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว  ส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือแม้แต่ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือแม้กระทั่งปริญญาโทยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ แม้ว่าทุกวันนี้ เด็กไทยจะมีแนวทางและโอกาสในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่หลากหลายขึ้น  ทั้งจากครูผู้สอนในห้องเรียน  สื่อ  เพลง ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต แต่ยังมีคำถามเสมอว่า ทำไมเด็กไทยปัจจุบันพัฒนาการทางภาษาอังกฤษยังไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยก่อนมากนัก หลายคนมีมุมมองเสนอทางออกที่แตกต่าง เช่น ถึงเวลาที่จะต้องพัฒนาการเรียนการสอนใหม่   ควรปรับวิธีการถ่ายทอดของครูใหม่ ควรจัดครูสอนที่ตรงวุฒิ ควรปรับหลักสูตรใหม่ เป็นต้น   
          จริงๆ แล้ว คงไม่มีสูตรสำเร็จรูปใดที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในการแก้ไขปัญหาของเด็กแต่ละคน แต่ละย่อมจำเป็นต้องใช้วิธีการที่มีความแตกต่างหลากหลาย กรณีกลุ่มเด็กที่มีความสนใจกระตือรือร้นที่จะเรียนสามารถเลือกใช้วิธีการใดก็ได้  แต่สำหรับเด็กกลุ่มอื่นๆ ต้องไม่มองข้ามความแตกต่างของเด็กแต่ละคน  เช่น ฐานะของครอบครัว การศึกษาของพ่อแม่ สภาพแวดล้อมของเด็ก การเข้าถึงสื่อและเทคโนโลยี  เป็นต้น 
          มีหลากหลายวิธีที่เสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาภาษาอังกฤษของเด็กไทย เช่น การสอนให้นักเรียนรู้คำศัพท์จำนวนมาก  เพราะปัญหานักเรียนรู้ศัพท์น้อยนั้นเป็นสาเหตุสำคัญโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และยังก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องอีกหลายอย่างตามมา การสอนภาษาอังกฤษในแต่ละชั่วโมง จำเป็นต้องให้นักเรียนได้ฝึกครบทุกทักษะทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน เป็นต้น
         
          เมื่อประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่กำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้ ภาษาอังกฤษยิ่งทบทวีความสำคัญและความจำเป็นมากขึ้น คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการวางแผนและเตรียมพร้อมพัฒนาเด็ก เยาวชน และคนไทยให้มีคุณภาพและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่สังคมคาดหวัง  ครูผู้สอนซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการถ่ายทอดความรู้เพื่อพัฒนาสังคม ต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน  ใฝ่ศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา  แสวงหาเทคนิควิธีสอนใหม่ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและผู้บริหารต้องให้ความสำคัญพร้อมสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนการสอนในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของภาษาประจำชาติและภาษาต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ในสังคมอาเซียนและเวทีโลกต่อไป







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น